วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การใช้จุลินทรีย์ดับกลิ่นในห้องน้ำห้องส้วม

การใช้จุลินทรีย์ดับกลิ่นในห้องน้ำห้องส้วม
                               
ปัญหาห้องน้ำมีกลิ่นหรือส้วมมีกลิ่นแรง ส่วนใหญ่เกือบ 100% มาจากท่อน้ำทิ้งที่อยู่ในห้องน้ำที่มีกลิ่นนั้น จะเห็นได้ว่าห้องน้ำบางห้องไม่มีกลิ่น แต่บางห้องกลับมีกลิ่นแรงลอยขึ้นมาตามท่อน้ำทิ้ง ปัญหานี้พบทั้งบ้านอยู่อาศัยทั่วๆไป ทั้งบ้านใหม่และบ้านเก่า คอนโดโรงแรม อพาร์ทเม้นท์เซอร์วิส จะมีกลิ่นเหม็นเพียงบางห้องเท่านั้น 
สาเหตุของกลิ่นเหม็นในห้องน้ำเกิดจาก
1. การสะสมจากของเสียที่ใช้ประจำวัน เช่น น้ำสบู่ น้ำแชมพู และอื่นๆที่ใช้ในห้องน้ำ ของเสียเหล่านี้จะถูกชะล้างลงตามท่อน้ำทิ้ง และจะมีบางส่วนของของเสียที่เกาะติดอยู่ข้างท่อน้ำทิ้ง ซึ่งท่อน้ำทิ้งส่วนใหญ่จะเป็นท่อพีวีซี เมื่อนานๆเข้าของเสียเหล่านี้จะส่งกลิ่นเหม็นลอยขึ้นมาตามท่อน้ำทิ้ง
2. ท่อน้ำทิ้งนั้นต่อตรงเข้ากับบ่อเกรอะ โดยเฉพาะบ้านรุ่นเก่า มักจะต่อท่อน้ำทิ้งเข้ากับบ่อเกรอะ ( ตามปกติต้องแยกท่อน้ำทิ้งไว้ต่างหาก ต้องไม่รวมเข้ากับบ่อเกอระ ) ช่วงที่ฝนกำลังตกหรือฝนตกใหม่ๆจะมีกลิ่นจากบ่อเกรอะลอยขึ้นมาตามท่อน้ำทิ้งได้ หรือช่วงฤดูหนาวจะมีกลิ่นลอยขึ้นมา ถ้าอยู่ใกล้กับห้องแอร์จะดูดกลิ่นเหล่านี้เข้าไปภายในห้องแอร์
  การแก้ปัญหากลิ่นเหม็นจากท่อน้ำทิ้งและห้องน้ำ
- จากข้อ 1 และ 2  สามารถใช้จุลินทรีย์อีเอ็มเทราดที่ท่อน้ำทิ้งได้เลย เทลงไปประมาณ 4-5 ลิตรต่อจุดของท่อน้ำทิ้งที่มีกลิ่น และส่วนหนึ่งเทลงในโถส้วม นำอีกส่วนผสมน้ำครึ่งต่อครึ่งทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ ( ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของแม่บ้านทำความสะอาด )ใช้ขัดและทำความสะอาดพื้นห้องน้ำให้ทั่วๆวันละครั้ง กลิ่นที่เหม็นก็จะหายไป
- กรณีปัญหาที่มาจากข้อที่ 2 เป็นไปได้ให้แก้ไขที่ต้นเหตุคือการรื้อท่อน้ำทิ้งแยกออกมาจากบ่อเกรอะใหม่ทั้งหมด แต่ในบางกรณีอาจทำได้ยาก กรณีไม่สามารถรื้อได้ ก็สามารถใช้จุลินทรีย์กำจัดกลิ่นได้ แต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่อง ( ตราบใดที่ของเสียยังมีอย่างต่อเนื่อง )

ขอบคุณที่มา http://www.dohome.co.th/

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เกร็ดความรู้ทั่วไป-การสร้างบ้าน


เกร็ดความรู้ทั่วไป-การสร้างบ้าน

      
การตรวจงานก่อสร้างบ้านนั้น ขั้นตอนต่างๆก็ตามขั้นตอนการก่อสร้างเลย แต่การตรวจงานจะเน้นคนละด้าน แต่ไม่ว่าคุณจะเคยสร้างบ้านหรือไม่เคยสร้างมาก่อนก็ตาม การเรียนรู้นั้นไม่ยากเกินไป และก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องรู้ด้วย เพราะบ้านของเราเอง ช่างเขาสร้างดี สร้างเก่ง รับผิดชอบดี เราก็โชคดีไป แต่ถ้าใครเจอช่างที่ไม่เก่ง แถมยังมักง่าย ชี้โกง หรือชุ่ย ด้วยแล้วละก้อ ซวยมั่กๆ เพราะโอกาสที่เราจะปลูกบ้านนั้นไม่บ่อย อาจจะครั้งเดียวในชีวิต ถ้าสร้างไม่ดีปัญหาการบำรุงรักษาก็จะตามมาเป็นเงาตามตัวเชียวละ
   
ถ้าใครซื้อบ้านจัดสรรก็อาจจะสบายหน่อย ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ เขาจะมีคนดูแลตรวจสอบ เพราะส่วนใหญ่เขาก็ไม่ได้สร้างเอง เขาจ้างผู้รับเหมาย่อยอีกที แต่ถึงอย่างไร เราก็ควรเขาตรวจสอบดูแลอย่างสม่ำเสมอ ดูแบบ ดูหุ่นจำลองแล้วรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ไม่เป็นไร พยายามจินตนาการให้ได้ว่าของจริงจะเป็นอย่างไร แล้วถ้ามีข้อไม่เข้าใจ จะทักท้วง แก้ไข จะได้ปรึกษาเขาก่อนที่จะสร้าง เพราะถ้าสร้างไปแล้ว ไปทุบแก้ไข ปัญหาอื่นๆจะเกิดตามมาอีก เดี๋ยวจะทะเลาะกันไม่เลิก
  

การก่อสร้างและตรวจตามขั้นตอนก่อสร้างจะมีดังนี้

1. การวางผัง

การวางผัง คือการกำหนดวางตัวบ้าน ว่าจะอยู่ที่ตำแหน่งไหน ในที่ดินของเรา ส่วนใหญ่จะกำหนดในแบบแล้วแต่แรก เมื่อตีผังโดยใช้ไม้แบบรอบบริเวณที่จะก่อสร้างแล้วก็จะกำหนดจุดฐานราก และเสาเข็มเพื่อตอกเข็ม บางพื้นที่ดินแข็งๆก็ไม่จำเป็นต้องตอกเข็ม จะทำฐานรากเลย ปัญหาในการวางผัง อาจมีการคลาดเคลื่อน หรือมีอุปสรรคเช่นต้นไม้ใหญ่ สิ่งก่อสร้างเดิมใต้ดิน เป็นต้น

2. การตอกเข็ม

การตอกเข็มปัจจุบันมี 2 อย่างคือเข็มตอก แบบดั้งเดิม และเข็มเจาะ ในกรณีที่พื้นที่จำกัด สถานที่ก่อสร้างอยู่ชิดติดสิ่งก่อสร้างอื่นๆ จะตอกเข็มไม่สะดวก หรือเมื่อตอกลงไปแล้ว จะไปกระทบกระเทือนเขา ทำให้พังเสียหายทะเลาะกันวุ่นวาย หรือบางรายก็ถึงกับฟ้องศาลกันเลยก็มีบ่อย การตรวจดูคือ ตรวจดูเสาเข็มก่อนว่าสภาพดี มีมาตรฐานหรือไม่ ไม่บิดงอ แตกร้าว ไม่ใช่ตอกไปแล้วหักคาที่ การตอกก็มีหลักคือตอกให้ตรง ไม่เอียงซ้ายเอียงขวา ตอกลงไปแล้วแน่นดี ไม่ใช่ตอกปุ๊บหายลงไปในดินปั๊บ นั่นแสดงว่าดินมันอ่อนไป ไม่รับน้ำหนัก เพราะหน้าที่ของเสาเข็ม คือรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวบ้าน บ้านจะทรุดไม่ทรุดก็อยู่ตรงนี้แหละ ตอกให้ได้ครบจำนวน หรือถ้าหักก็ต้องตอกเสริมให้ครบตามที่วิศวกรระบุ

3. การทำฐานราก 

ต้องขุดดินออกจากก้นหลุมให้ใหญ่กว่าฐานรากที่จะทำ ถ้ามีน้ำก็ต้องสูบน้ำออกก่อน ระดับความลึกคือวางอยู่บนหัวเสาเข็มพอดี และเททรายและคอนกรีตหยาบ รองพื้นก่อนที่ตั้งแบบไม้ และวางเหล็ก เหล็กเสาตอม่อก็ต้องตั้งตรงได้ดิ่งกับพื้น
 

4. งานคอนกรีตทั่วไป

คือส่วนที่เป็นโครงสร้างทั้งหมดของอาคาร เช่น เสา คาน พื้น ที่เขียนย่อในแบบว่า ค.ส.ล. นั้นย่อมาจาก คอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นส่วนประกอบหลักที่ให้ความแข็งแรงกับโครงสร้าง คือคอนกรีตและเหล็กเสริม คอนกรีตอย่างเดียวก็จะแข็งแต่ไม่เหนียว เหล็กอย่างเดียวเหนียวแต่งอได้ จึงต้องใช้มาผสมกัน เพิ่งดูข่าวน้ำท่วมตจว.ไปหยกๆ เห็นน้ำท่วมผ่านถนนขาด รถวิ่งมาถนนพังตกน้ำลงไปทั้งคัน ชาวบ้านมายืนชี้ให้ดูรอยหักของถนน ปรากฏว่าไม่มีเหล็กเสริม มันถึงหักตกน้ำไปได้ง่ายๆ โกงกันหน้าด้านๆเลยนิ  ส่วนคอนกรีตนั้น ถ้าสั่งแบบสำเร็จรูปมาเป็นคันรถเทเลยก็จะได้มาตรฐานดีมาก แต่ถ้าผสมเองต้องดูเขาหน่อย เพราะคอนกรีต ประกอบด้วย ปูนซีเมนต์ ทราย และหิน เป็นสัดส่วนกัน คือ 1:2:4 แล้วก็ต้องผสมน้ำพอประมาณ ไม่เหลวไป ข้นไป และน้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำสะอาดด้วย จะให้ช่างมักง่าย บางทีตักเอาน้ำคลองข้างบ้านมาผสม ขุ่นคลั่กเลย ใช้ไม่ได้ คอนกรีตถ้าผสมเหนียวไปก็เทไม่ค่อยลงเต็มแบบไม้ ต้องมีอุปกรณ์เขย่าคอนกรีตให้อัดตัวแน่น เต็ม พอถอดแบบออกมาแล้วสวยเนียน ไม่เว้าแหว่งเป็นรูโพลง

5. การตั้งไม้แบบ

การเทส่วนโครงสร้างทั้งหมด จะต้องตั้งไม้แบบก่อน เพื่อวางเหล็กเสริม อันนี้ต้องดูให้ดีเพราะช่างมักทำไม่เรียบร้อยเสมอ ตั้งเสาไม่ตรงไม่ได้ดิ่ง หรือบางทีตั้งคานเอียงไม่ได้ระดับ พอหล่อมาแล้ว ดีไม่ดี เขาไม่ค่อยยอมทุบยอมทำใหม่นะ เพราะทุบรื้อทีก็เสียของ (ที่จริงมันของของเรา)

6. งานผูกเหล็ก

เหล็กเสริมมันก็มีขนาดเส้นใหญ่เล็กต่างกันไปเรียกตามความเล็กใหญ่ว่า มิล ตามมาตราเมตริกที่ specในแบบ แต่ช่างจะชอบเรียกเป็นหุน แบบเก่า คือหน่วยเป็นนิ้ว 1 นิ้วมี 8 หุน เหล็กเล็กก็มักจะใช้ทำเหล็กปลอก ส่วนเหล็กใหญ่ก็เสริมเป็นเหล็กยืนเสริมเสาคานเสริม เหล็กเสริมก็ดูซักหน่อยว่าได้เหล็กเต็มตาขนาด (จะดูยากสักหน่อย) ไม่เป็นสนิม ดัดตรงดี เหล็กปลอก ซึ่งควรมีระยะห่างเท่าๆกันไม่ใช่ถี่บ้างห่างบ้าง แต่บางจุดที่จะเน้นความแข็งแรง วิศวกรก็จะเสริมพิเศษให้ถี่ขึ้นอีก เสร็จแล้วก็จะใช้ลวดผูกเหล็กผูกเหล็กยืนและเหล็กปลอกเข้าด้วยกันทุกๆจุดที่เหล็กทาบกัน จึงจะเรียบร้อย แข็งแรงพร้อมเทคอนกรีต ไม่แอ่นโค้งไปมา

7. การบ่มคอนกรีตและถอดแบบ

เมื่อเทคอนกรีตเสร็จแล้ว ต้องรอคอนกรีตแห้งก่อน เพราะคอนกรีตยิ่งแห้งยิ่งมีกำลังรับน้ำหนักได้ดี คงเคยเห็นข่าวตึกถล่มตอนก่อสร้างบ่อยๆ เพราะช่างมันรีบเกินไป คอนกรีตยังไม่แห้ง ไม่setตัว ก็ถอดแบบ ตั้งแบบชั้นบนๆขึ้นไปอีก เมื่อคอนกรีตยังรับน้ำหนักไม่ได้เต็มที่ ก็พังลงมาก่อนแน่นอน การบ่มคือเอากระสอบป่านชุบน้ำคลุมไว้ หรือใช้แผ่นพลาสติกห่อคล้ายๆที่เราใช้ wrap ห่ออาหาร จะทำให้คอนกรีตค่อยๆแห้งและได้กำลังรับสูง แต่ช่างไม่ชอบ เพราะเสียเวลา งานช้าเปลืองค่าแรงลูกน้อง

8. งานไม้

งานไม้แบ่งเป็น 2 ประเภท คืองานโครงสร้างภายใน และส่วนประกอบภายนอก โครงสร้างภายในเช่นโครงเคร่า ฝ้าเพดาน โครงฝา ควรทาน้ำยากันปลวก มอดเสียก่อนที่จะกรุ ส่วนระบบที่วางท่อน้ำยากันปลวกตามโครงสร้างอาคารนั้น เท่าที่เห็นมันไม่ค่อยworkเท่าไหร่ แค่สร้างความมั่นใจเท่านั้น กันปลวกจริงๆไม่ค่อยได้ (นี่ไปขัดทางทำมาหากินของใครเข้ามั่งไม่รู้) เพราะการวางท่อนั้นไม่สามารถกำหนดตำแหน่งให้น้ำยามันฉีดไปได้ทั่วทุกส่วน แล้วปลวกนี่ก็ฉลาดคล้ายแมลงสาบนะครับ กำจัดยากจริงๆ ทางที่ดีคือต้องหมั่นตรวจตราบ้านเราอยู่เสมอ เหมือนเช็คสุขภาพผู้สูงอายุนั่นแหละ เวลาปลวกมันขึ้นมันจะมีทาง มีรอย การเสียเงินจ้างคนกำจัดปลวกคอยดูตามระยะเวลาก็จะดีกว่า (ตามความเห็นของผมนะ) แต่ก็ต้องเลือกบริษัทที่รับผิดชอบดีด้วย พวกที่วางท่อไว้ ก็เห็นต้องมาเรียกใช้บริการพวกนี้อยู่ดี ส่วนประกอบอื่นภายนอก ได้แก่ไม้เชิงชาย ระแนงฝ้าเพดาน พวกนี้เป็นส่วนโชว์ ไม่หลบซ่อนตัวเหมือนพวกโครงต่างๆ จึงต้องมีการใสขัดผิวให้เรียบ ไม่เป็นเสี้ยน การให้ช่างสั่งโรงไม้ใสมาให้เราเลยก็สะดวกและได้มาตรฐานดี แต่จะได้ไม้มาไม่เต็มเพราะเครื่องใสออกไปแล้ว แต่ก็ดีกว่าให้ช่างมานั่งใสในที่ ซึ่งควรจะเป็นการขัดละเอียดก่อนลงสี ลงน้ำยามากกว่า ยิ่งเฉพาะบันใดด้วยแล้ว เราจะต้องสัมผัสใกล้ชิด นี่ต้องให้เนียนกว่าเพื่อนส่วนเคร่าฝ้าปัจจุบัน นิยมใช้ยิบซั่มกันมากกว่าไม้ เพราะราคาถูกกว่า แล้วค่อยไปว่าเรื่องยิบซั่มอีกทีหลัง

9. งานก่ออิฐ

ส่วนใหญ่คือการก่ออิฐผนังและแผงกำแพง ที่นิยมที่สุดคืออิฐมอญและคอนกรีตบล็อก การก่ออิฐผนังจะต้องมีเหล็กเสริมหนวดกุ้งเสริมยื่นออกมาจากเสาเตรียมไว้แล้ว เพื่อยึดผนังกับเสาให้แข็งแรง ก่อนก่ออิฐต้องเอาอิฐไปแช่น้ำให้อิ่มน้ำก่อน แล้วจึงนำมาใช้ ไม่งั้นอิฐที่แห้งจะดูดน้ำจากปูนก่อจนปูนก่อแห้งไป ไม่ยึดติดอิฐก่อ จะหลุดร่วงได้ก่อนฉาบปูนด้วยซ้ำ การก่ออิฐต้องเริ่มจากมุมเสาก่อนและขึงแนวกำแพงทั้งทางตั้ง ทางนอนไว้เป็นระยะ เวลาก่อจะได้ไม่เลื้อยเป็นงู ถ้าผนังยาวหรือ สูงมากจะต้องมีเอ็นค.ส.ล.เสริมยึดให้แข็งแรงด้วย งานก่ออิฐเดี๋ยวนี้ไม่ใช่กำแพงอิฐล้วนๆอย่างเดียว แต่ยังฝังงานระบบสารพัดอย่างลงไปด้วย เช่นระบบน้ำ ระบบไฟ ต้องให้ช่างประสานงานและเว้นงานให้สัมพันธ์กัน ไม่อย่างนั้น เวลาจะมาวางระบบต้องรื้อต้องเจาะกันอยู่เรื่อย กำแพงที่ก่อไว้แล้วก็อาจเสียหาย หรือไม่แข็งแรง การเสริมเอ็นค.ส.ล.ตามแนวผนัง หรือล้อมรอบวงกบประตูหน้าต่าง

10.งานฉาบปูน

ก่อนการฉาบปูนต้องทำการจับเซี้ยม ตามระดับขอบเสา มุม ผนังเสียก่อนเพื่อความเรียบร้อย และได้ดิ่ง ได้ฉาก ก่อนฉาบก็ต้องรดน้ำผนังก่ออิฐให้ชุ่มเสียก่อนเช่นเดียวกัน จะช่วยไม่ให้ผนังแตกร้าวเพราะอิฐดูดน้ำไปจากปูนฉาบ ส่วนผนังภายนอกที่โดนแดดมากๆ ก็ต้องให้น้ำกันหน่อย รดน้ำซะ 3 วัน จะได้ไม่แตกลายงาภายหลัง เพราะปูนมันแห้งเร็วกว่าปกติ แล้วอย่าลืมวางระบบต่างๆเสียให้เสร็จ จะได้ไม่ต้องมาสะกัดอีกภายหลัง เพราะไม่ว่าการฉาบปูนซ่อมใหม่จะทำได้เรียบร้อยปานใด ก็ยังมีร่องรอยอยู่ดี เพราะปูนทำกันคนละที ไม่สนิทเป็นเนื้อเดียวกัน การทาสีอาจกลบไม่หมด ต้องติด wallpaper แทน เสียเงินมากขึ้นไปอีก การฉาบปูนผนังห้องน้ำต้องทำผิวให้หยาบเพื่อปูกระเบื้องเคลือบ การฉาบปูนภายนอก ควรตั้งนั่งร้านให้แข็งแรง การทำงานจะง่าย เร็ว และปลอดภัย และได้งานที่ดี ถ้านั่งร้านไม่แข็งแรง เกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีผลกระทบกับงาน ที่จริงผู้รับเหมาจะต้องรับผิดชอบเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน แต่บางทีก็มั่ว หรือหาเหตุที่มากระทบเรา เข้าจนได้

11. การติดตั้งวงกบ ประตู หน้าต่าง

การติดตั้งวงกบประตูหน้าต่างถ้าไม่ยึดติดกับเสา จะต้องทำเอ็นค.ส.ล.ทุกด้านเพื่อความแข็งแรง และต้องให้ได้ดิ่งเสมอ เวลาใช้งานนานๆ จะได้ไม่แตกร้าวที่มุมประตู ถ้าวงกบใช้ไม้ดีๆสวยๆก็ควรทาน้ำมันเคลือบผิวไว้ก่อน จะได้ไม่เปื้อนน้ำปูน เวลามาลงชเลคภายหลังก็จะสวย ไม่มีรอยปูนเปื้อนให้หงุดหงิด เพราะมันล้างไม่ออกการติดตั้งบานประตูหน้าต่าง ต้องใสแต่งขอบบานให้เรียบร้อยให้หลวมๆนิดหน่อย เผื่อความหนาสำหรับวัสดุทาผิวด้วย ไม่งั้นตอนใส่บานมันเปิดง่ายดี แต่พอทาสีไปแล้วทำไมมันฝืดจังบานประตูถ้าเป็นไม้อัดจะต้องดูด้วยว่าใช้ภายในหรือภายนอก เพราะคุณสมบัติและราคามันผิดกันถ้าเอาของภายในไปใช้ภายนอก ไม่นานก็บวม อย่าเชื่อช่างหรือขี้เหนียวเกินการใช้บานพับติดตั้งก็ต้องดูด้วยว่า ติดตั้งกับบานอะไร คือต้องใช้ขนาดให้เหมาะสมกับน้ำหนักของบานนั้นๆ บานใหญ่ หนัก ก็ต้องใช้บานพับใหญ่ตามกัน ถ้าบานพับเล็กไป ไม่นานบานจะตกเอียงปิดไม่เข้า เดือดร้อนภายหลังจะหาช่างมาเปลี่ยนก็ยาก เพราะงานเล็กๆ ช่างไม่ชอบทำ ถึงแม้เราคิดว่าเราจ่ายกะตังค์จ้าง แต่อย่าลืมว่าช่างเขาก็หางานที่ทำง่าย เสร็จเร็ว รายได้ดีกว่า เสมอ

12. งานหลังคา

งานหลังคา แบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนโครงหลังคา และส่วนวัสดุมุงหลังคา  งานโครงหลังคา แต่ก่อนก็ใช้กันแต่โครงไม้ เดี๋ยวนี้หันมาใช้โครงเหล็กกันหมดแล้ว ส่วนโครงสร้างหลัก บางทีก็เป็นค.ส.ล. บางทีก็เป็นเหล็กหมด ตั้งแต่คานอะเสขึ้นไป เพราะเดี๋ยวนี้ สร้างง่าย ราคาถูกกว่าอย่างอื่น ถ้าได้ช่างดีๆก็จะเรียบร้อยมาก ช่างเหล็กเดี๋ยวนี้อาจแยกงานเป็นช่างคนละชุดกับช่างอื่น เพราะความชำนาญงานไม่เหมือนกัน แต่เอาช่างเหล็กมาเป็นช่างไม้ไม่ได้ วิธีการมันยากกว่าเยอะ ค่าตัวก็แพงกว่ากัน โครงหลังคา ถ้ายังใช้ไม้อยู่ก็อย่าลืมทาน้ำยากันปลวก ทาหลายเที่ยวยิ่งดี ปลวกมันทำงาน 24 ชั่วโมงนะ ส่วนโครงสร้างก็ดูระยะความห่าง แป จันทัน ให้สม่ำเสมอ สำคัญที่ระนาบของหลังคาคือต้องตรงเรียบเสมอกันหมด ห้ามแอ่น ห้ามแบะ เพราะจะทำให้เวลามุงกระเบื้องไม่สนิท น้ำจะเข้าได้ งานมุงกระเบื้อง ขึ้นอยู่กับชนิดกระเบื้อง ว่าเป็นแบบไหน แผ่นใหญ่หรือเล็ก หนาหรือบาง ถ้าหลังคาชันๆก็เลือกใช้กระเบื้องแผ่นเล็กๆได้ หลักที่ต้องจำคือการมุงต้องดูทิศทางลมด้วย คือต้องมุงย้อนทางลม เพื่อให้การซ้อนทับของกระเบื้องไม่รับทางลม เพราะลมที่แรงจะดันน้ำให้ย้อนเข้าทางร่องแผ่นกระเบื้องที่มุงไม่แนบสนิทกันได้ แนวกระเบื้องทางตั้ง ต้องให้ได้แนวตรงไม่โค้งบิด หรือเลื้อย เพราะทำให้กระเบื้องไม่แนบสนิทกัน ส่วนจะใช้ฉนวนกันความร้อนด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับงบประมาณ จะใช้หรือไม่ก็ได้ เพราะตัวฉนวนนั้นมีประสิทธิภาพกันความร้อนได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น สู้การทำการระบายความร้อนในช่องหลังคาให้สะดวกไม่ได้
 

13. งานฝ้าเพดาน

ยังมีการใช้โครงไม้อยู่ เพราะแข็งแรงทนทานกว่าโครงเหล็กชุบสังกะสีกับยิบซั่ม และออกแบบได้หลากหลายกว่ากัน งานไม้จะเรียบร้อยกว่า ถ้าใช้ยิบซั่มต้องกำชับดูแลให้ดีกว่าการยึดลวดแขวนโครงเหล็กแข็งแรงแน่นหนา ยึดกับโครงสร้างใหญ่ๆที่รับน้ำหนักได้ดี เพราะตอนแขวนโครงมันก็เสมอดี แต่พอวางแผ่นยิบซั่มลงไปแล้ว มันแอ่นไปแอ่นมาเป็นลอนๆ เป็นคลื่นเชียว โดยเฉพาะแบบ T-Bar ถ้าเป็นแบบฉาบเรียบก็จะเรียบร้อย แข็งแรงกว่า แต่ก็ดูให้เขายิงตะปูเกลียวถี่ๆหน่อย เพราะในระยะยาวถ้าแผ่นยิบซั่มเริ่มเสื่อมสภาพการยึดเกาะจะน้อยลง อาจจะหลุดหล่นลงมาทั้งแผ่นได้ ตะปูเกลียวถี่ๆจะรับน้ำหนักได้ดีกว่า รอยต่อก็ควรทำให้เรียบร้อย ถ้ามีบัวเพดานปิดได้ก็ยิ่งดี

14. งานติดตั้งประปา สุขภัณฑ์

ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเหล็กชุบสังกะสี หรือท่อ PVC เน้นดูที่การติดตั้งข้อต่อต่างๆให้แข็งแรง น้ำยาทาให้ทั่วกันรั่วซึม ท่อแต่ละแนว แต่ละเลี้ยว ต้องมีอุปกรณ์ยึดเกาะให้แน่นหนาแข็งแรง ลองเขย่าดูไม่สั่นเป็นใช้ได้ ที่สำคัญเมื่อติดตั้งระบบท่อทั้งหมดแล้ว ก่อนติดตั้งงานอื่นๆต่อ ต้องทดลองแรงดันน้ำด้วยว่าไม่มีส่วนใดรั่วซึม จึงทำการฉาบปูน ปิดทับ ฝังท่อได้ ตำแหน่งของสุขภัณฑ์ต่างๆ ตรวจสอบให้ดีก่อนว่าท่อที่วางไว้ มีระยะตรงกับรุ่นที่ซื้อมาหรือไม่ (ควรจัดซื้อสุขภัณฑ์ไว้ก่อนเลย) เพราะต่างยี่ห้อ ต่างรุ่น ระยะและการติดตั้งจะไม่เหมือนกัน แล้วจึงปูกระเบื้องให้เรียบร้อยก่อนติดตั้งสุขภัณฑ์ แล้วก็ทดลองระบบน้ำอีกครั้งว่ามีรั่วซึมหรือไม่ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
 

15. การติดตั้งไฟฟ้า

ไฟฟ้าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่สุดในปัจจุบัน แต่อันตรายจากไฟฟ้าก็ยังมากเหมือนเดิม การก่อสร้างที่ทำไม่ดี เป็นสาเหตุให้ไฟไหม้มาเยอะแล้วหลังจากการก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ การติดตั้งและใช้วัสดุต้องเลือกใช้ที่มีมาตรฐานดี อย่าเลือกซื้อของที่ราคาถูกอย่างเดียว การติดตั้งเดินสายถ้าร้อยท่อได้ควรจะทำ แพงกว่าหน่อยแต่ปลอดภัยต่อชีวิต และทรัพย์สิน โดยเฉพาะส่วนที่ลึกลับ ซอกซอย ที่พวกหนูแมลงจะเข้าถึง หรือยึดเป็นบ้านของมันบ้าง ต้องร้อยท่อให้หมด อย่าเดินลอย ให้มันแทะเล่นเป็นอันขาด ไฟจะช็อตเอา ไฟไหม้ที่ไหนทุกครั้งเขาก็จะโทษว่าไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง  สายไฟที่ต่อเชื่อมพันกันต้องพันเทปให้เรียบร้อยแน่นหนา เมื่อเสร็จแล้วก็ทดสอบการใช้งานให้เรียบร้อยทุกจุด เครื่องมือพวกตัดไฟ กันไฟดูดทั้งหลายศึกษาและเลือกใช้ได้ก็ดี กันไว้อีกชั้นหนึ่ง ที่สำคัญช่างที่จัดระบบไฟ ดูว่าเขาเก่งหรือเปล่า หลอกถามไปเรื่อยๆก็ได้ ถามโน่น ถามนี่ ถ้าเก่งเขาก็ตอบได้หมด ถ้าไม่เก่งจะเป็นพวกข้ามขั้น ครูพักลักจำไปเล่นตลกได้ แต่มาเป็นช่างไฟไม่ได้ พลาดพลั้งขึ้นมาถึงชีวิตเชียว โดยเฉพาะเรื่องสายดินที่ต้องมีติดตั้งกับอุปกรณ์สำคัญที่เขามีสายดินสีเขียวๆโผล่มาด้วย ต้องติดตั้งให้ครบ ที่ดูดคนตายมาเยอะแล้วก็เครื่องทำน้ำร้อนในห้องน้ำนี่แหละ อันตรายที่สุด

16. งานระบบน้ำเสีย ระบบระบายน้ำ 

บ่อเกรอะ บ่อซึม จะใช้ระบบโบราณคือใช้บ่อซีเมนต์สำเร็จรูปหรือก่ออิฐก็ได้ ถ้ามีพื้นที่ หรือระดับน้ำใต้ดินไม่สูง (สังเกตุดูตอนขุดดินทำฐานรากนะครับ ว่าขุดถึงระดับไหมน้ำจะซึมขึ้นมา) ก็จะใช้ได้ดี ไม่เปลือง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ ที่น้ำใต้ดินสูง หรือที่แคบๆในกรุงเทพฯ พื้นที่ไม่อำนวยก็ต้องใช้แบบถังบำบัดสมัยใหม่ เสียตังค์แพงหน่อย ต่อจากบ่อดักบ่อพักแล้ว ก็จะเข้าท่อระบาย ให้วางบ่อพักไม่เกินระยะ 4 เมตรต่อ 1 บ่อและทำระดับเอียงลาดมากๆหน่อย จะได้ไม่อุดตันบ่อย และสามารถเปิดตัก ทำความสะอาดสิ่งอุดตันได้ การวางท่อน้ำทิ้งและบ่อพัก ให้ช่างพยายามบดอัดดินที่รองรับแนวท่อให้แน่น จะได้ไม่ทรุดง่าย พังเร็ว

17. งานปูวัสดุผิวพื้นและผนัง 

วัสดุตกแต่งพื้นผิวมีหลายชนิด ติดตั้งกับส่วนพื้น และผนัง ได้หลายชนิดเช่นกัน ส่วนพื้น ก่อนปูกระเบื้องหรือไม้ปาร์เก้ ต้องปรับระดับพื้นผิวให้เรียบสม่ำเสมอ ไม่เป็นแอ่ง เป็นลอน แล้วทำความสะอาดพื้นผิว ไม่ให้มีฝุ่นผง เศษวัสดุ การปูกระเบื้องก็ต้องตั้งปุ่มระดับก่อนและตั้งแนวกระเบื้องทั้ง 2 ทาง ทางตรงและขวาง เลือกปูจากด้านที่เห็นชัดเจนก่อน เมื่อไปจบอีกด้านหนึ่งกระเบื้องอาจจะเหลือเศษ ต้องตัดออก ซึ่งจะไม่เรียบร้อย ก็หลบไว้ด้านที่ไม่สำคัญ อย่าลืมแช่กระเบื้องให้อมน้ำก่อน เหมือนก่ออิฐนั่นแหละ แนวกระเบื้องถ้ากระเบื้องดีก็สามารถปูได้เกือบชิด แต่ถ้าอยากเว้นร่องก็ไม่ควรให้ห่างจนเกินไป ทำความสะอาดยาก เมื่อยาแนวเรียบร้อยแล้วปล่อยให้แห้งสนิทก่อน อย่าให้ใครไปเดินเหยียบ จะทรุดหรือหลุดได้ 
   
การปูไม้ปาร์เก้ ก็ลักษณะเดียวกัน แต่เมื่อปูเสร็จแล้วก็ต้องอุด โป้ว รูร่องต่างๆที่มีอยู่ให้เรียบร้อย แล้วทิ้งไว้ให้กาวแห้งสนิทเสียก่อน อย่างต่ำสัก 1 อาทิตย์ ถ้ามากกว่านั้นได้ก็ดี การขัดให้เรียบต้องใช้ฝีมือช่างพอสมควร กำชับช่างหน่อย เพราะต้องสม่ำเสมอทั่วกัน การขัดส่วนพื้นที่ใหญ่ๆจะใช้เครื่องตัวโต ส่วนซอกซอยที่เครื่องใหญ่เข้าไม่ถึง ก็จะใช้เครื่องเล็กๆมาเก็บงานอีกทีหนึ่ง ที่ให้กำชับเป็นพิเศษเพราะไม้ปาร์เก้นั้น ถ้าขัดไม่ดี ไม่สม่ำเสมอ ลึกเป็นรอย เป็นแอ่งแล้วแก้ยาก เอาผิวไม้ปะกลับไปไม่ได้ ก็ต้องขัดลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งลึกก็ยิ่งไม่เสมอ แต่ที่เห็นตามบ้านจัดสรร ระดับดี หลายแห่งขัดน้อยไป ผิวยังไม่ทันเรียบเสมอเลย ทาเคลือบผิวซะแล้ว ก่อนทาเคลือบจะตรวจงานยากสักหน่อย เพราะมองยาก แต่ตอนที่ทาเคลือบแล้ว เวลาเรามองเอียงๆจะเห็นชัดเจน การปูพรมหรือกระเบื้องยาง ก็หลักการเดียวกัน ต้องปรับระดับให้เรียบก่อน และทำความสะอาดพื้นผิว ก่อนปู
    

18. งานสี

ก่อนทา ตรวจสอบดูสีที่จะใช้ก่อน ว่าถูก spec หรือไม่ ที่สำคัญใช้สีตามคุณสมบัติ คือสีที่ระบุสำหรับทาภายใน ภายนอก อย่าใช้สลับกัน สีทาภายใน ห้ามมาทาภายนอกเด็ดขาด การเลือกสี ถ้าเลือกยี่ห้อไหนก็ต้องเอาแคทตาล็อคของยี่ห้อนั้น เพราะโทนสีแต่ละโรงงานไม่เหมือนกัน ถ้าไม่มีก็ควรมาเทียบกันดูก่อนว่าใกล้เคียงกันไหม รับได้ไหม แล้วค่อยซื้อ ถ้าเลือกใช้สีตามเบอร์ของโรงงานได้ก็จะดี อย่าให้ช่างผสมสีเอง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเก่ง ผสมไม่เหมือน บางทีผสมไม่พอ ทาหมดแล้วผสมใหม่ก็ไม่เหมือนกัน ก่อนทาก็ต้องอุดโป้ว ทำความสะอาดผนัง ให้เรียบร้อยก่อน และผนังต้องแห้งสนิท ชื้นเปียกไม่ได้ ฝนตกก็ไม่ควรทา เมื่อทาแต่ละชั้นต้องรอให้ชั้นที่ทาแล้วแห้งดีก่อน จึงทาทับ อย่างน้อย 2 เที่ยว ไม่ให้เห็นรอยแปรง

19. การเก็บกวาดทำความสะอาดสถานที่

เป็นอันว่าหมดขั้นตอน การก่อสร้างแต่เพียงนี้ เมื่อผู้รับเหมาเก็บข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้ไปหมดแล้ว ต้องให้เขาเก็บเศษวัสดุเหลือใช้ต่างๆ และขยะไปทิ้งให้ด้วย และให้ทำความสะอาดอาคารทุกส่วนให้เรียบร้อยจึงตรวจรับงานได้ จ่ายตังค์ซะ วัสดุเหลือใช้บางอย่างเราเก็บไว้สำรองซ่อมแซมภายหลังก็ดี เช่นกระเบื้อง สี เพราะถ้ามีปัญหาต้องซ่อมจะได้ไม่ต้องไปตระเวนหาของ อย่างกระเบื้องนี่จะผลิตรุ่นใหม่ออกมาเรื่อยๆ รุ่นเก่าเลิกผลิต จะหาของยาก

20. การจ่ายเงิน

ข้อสุดท้ายนี่แถมนะครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการก่อสร้าง แต่มันเกี่ยวกับการบริหารผู้รับเหมา การจ่ายเงินควรแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ จ่ายให้เขาตามเนื้องานที่ทำแล้วเสร็จ เมื่อเรารู้งวดงานละเอียดขนาดนี้แล้ว ก็ควรประมาณราคาได้ว่าแต่ละงวด มันเป็นเงินเท่าไหร่ ก็เจรจาจ่ายไปตามผลงาน ช่างอาจมีเบิกล่วงหน้าบ้างแล้วแต่ตกลง แต่ต้องเหลือเงินไว้งวดสุดท้ายก่อนงานจบเสมอ ถ้าเป็นผู้รับเหมาเขาจะต้องมีเงินหมุนเวียนบ้าง แต่ถ้าเราจ้างช่างโดยตรงจะเสี่ยงหน่อย เพราะเบิกเงินแล้วหายหน้านี่ จะเจอบ่อย ทำงานแล้วไม่รับผิดชอบจนเสร็จงาน พอเจองานแก้ งานติดขัด จะออดอ้อนสารพัด ถ้าใจอ่อนให้ไปมาก เพื่อนขนของหายไปเลยก็มี บางทีก็ไม่ขนของ ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าซะงั้น



ขอขอบคุณที่มา  http://www.plb.co.th/knowledge.php

ตกแต่งบ้านตาม..ฮวงจุ้ยอย่างมีเหตุผล

ตกแต่งบ้านตาม..ฮวงจุ้ยอย่างมีเหตุผล
"ฮวงจุ้ย" เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยภูมิพยากรณ์ของประเทศจีน ซึ่งสั่งสมกันมานับพันๆปี หลักของฮวงจุ้ยนั้นจึงเป็นการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่นในแบบของความ เชื่อ ซึ่งเป็นวิธีการสอนของคนสมัยก่อนมากกว่าการสอนด้วยหลักเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อเรานำความเชื่อของฮวงจุ้ยมาวิเคราะห์กันจริงๆแล้ว จะพบว่าความเชื่อเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับหลักของเหตุและผลอยู่ในความคิด แห่งภูมิปัญญานั้น

รูปทรงที่ดินแบบต่างๆ1."รูปทรงที่ดินปากกว้าง ก้นแคบ ในตำราฮวงจุ้ยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นที่ดินไม่เก็บทรัพย์ เงินทองรั่วไหล เจ้าของบ้านจะมีหนี้สินมากมาย หาเท่าไหร่เป็นหมด และใครที่ปลูกบ้านบนที่ดินลักษณะนี้ชีวิตสมรสจะล้มเหลว" สมัยก่อนประเทศจีนมีการเก็บภาษีที่ดินจากความยาวของด้านที่อยู่ติดถนน ชาวจีนสมัยนั้นจึงไม่นิยมสร้างบ้านบนที่ดินที่มีหน้ากว้าง อีกทั้งบ้านที่มีด้านยาวติดถนนมากๆ มักจะมีปัญหาเรื่องฝุ่น ควัน และเสียงดังรบกวนจากภายนอกได้ง่ายด้วย แต่ถ้าเรามองในแง่ของการค้าแล้ว ที่ดินลักษณะนี้กลับน่าจะเป็นข้อได้เปรียบตรงที่มีพื้นที่ขายหน้าร้านกว้าง มากขึ้น

2."รูปทรงที่ดินสี่เหลี่ยมคางหมูปากแคบ ตำราฮวงจุ้ยเรียกว่าเป็นที่ดิน "ถุงเงิน" เป็นที่ดินที่เก็บทรัพย์ได้ดี แต่อาจต้องดิ้นรนต่อสู้เอาบ้างในช่วงแรกเริ่ม" น่าจะมีเหตุผลมาจากการเก็บภาษีที่ดินของประเทศจีนในสมัยก่อนเช่นเดียวกับข้อ แรก ทำให้เจ้าของบ้านบนที่ดินหน้าแคบมีเงินเหลือเก็บมากกว่าบ้านบนที่ดินหน้า กว้าง และหากมองในแง่การออกแบบแล้ว ที่ดินลักษณะนี้มักจะมีปัญหาเรื่องเสียงรถ และฝุ่นควัน รบกวนน้อยกว่าด้วย

3." ใครปลูกบ้านบนที่ดินใบมีด จะมีแต่อันตราย" การออกแบบบ้านบนที่ดินแคบยาว และมีขนาดเล็กมากๆ อาจมีปัญหาเรื่องการวางตำแหน่งห้องภายในบ้านซึ่งจะทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะที่ดินที่ด้านแคบหันไปทางทิศเหนือ-ใต้ เพราะจะทำให้ออกแบบตัวบ้านเลี่ยงแสงแดดได้ลำบาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้บ้านร้อน จนเจ้าของบ้านอยู่แล้วรู้สึกไม่สบาย อีกทั้งในการออกแบบบ้าน เรายังต้องคำนึงถึงระยะถอยร่นจากเขตที่ดินอย่างน้อย 2 เมตร เพื่อสามารถทำหน้าต่างบ้านได้ ทำให้พื้นที่ที่เหลือสำหรับสร้างบ้านจริงๆเหลือน้อยมาก จนทำให้การออกแบบบ้านให้ดีนั้นทำได้ยาก

4."ใครปลูกบ้านบน ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และประสบอุบัติเหตุบ่อย จนเป็นเหตุให้มีเรื่องให้เสียเงินเสียทองเสมอ" ที่ดินลักษณะนี้ไม่ว่าจะวางตำแหน่งบ้านแบบไหนก็จะเหลือเศษสามเหลี่ยมมุมแหลม เป็นซอกรั้วบ้านทั้ง 2 ด้านเสมอ ซึ่งเป็นรูปร่างของพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้มากนัก นอกจากจะจัดเป็นสวนหรือระเบียงนั่งเล่น และในแง่ของจิตวิทยาลักษณะซอกมุมเหล่านี้ ยังเป็นมุมที่ทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกอึดอัดอีกด้วย

 5."ที่ดินรูป ค้อน จะส่งผลให้มีแต่เรื่องหนักใจ ครอบครัวแตกร้าว มีทุกข์เหมือนกับโดนค้อนทุบ" ที่ดินลักษณะนี้ถ้าหากเราวางผังบ้านไม่ดีจะเหลือซอกมุมและจุดอับมาก ซึ่งในการออกแบบบ้านที่ดีนั้น เจ้าของบ้านควรจะสามารถมองเห็นบริเวณภายในบ้าน ทุกๆส่วนได้ชัดเจนด้วย เพราะการมีมุมอับทางสายตาในบ้าน จะทำให้เจ้าของบ้านเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีในเชิงความไม่ปลอดภัยและเป็น กังวลได้ง่าย ดังนั้นการวางตำแหน่งบ้านบนที่ดินรูปค้อน เราจึงไม่ควรวางตัวบ้านเบี่ยงไปด้านใดด้านหนึ่งมากจนเกินไป

 6." ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นทำเลฮวงจุ้ยที่ดี ครอบครัวที่อยู่บนทำเลนี้จะอยู่ดีเป็นสุข ไม่ค่อยมีเรื่องที่ทำให้เดือดร้อนใจ" เป็นลักษณะที่ดินที่ออกแบบและวางผังได้ค่อนข้างง่าย ไม่เหลือเศษพื้นที่และมุมอับทางสายตาเหมือนที่ดินหักมุม แต่ความยาวที่เท่ากันทุกด้านนั้น ก็ทำให้บ้านดูไม่น่าสนใจด้วยเช่นกัน

7." ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามตำราฮวงจุ้ยเป็นที่ดินที่ดีที่สุด ผู้อยู่อาศัยจะดี ครอบครัวมีความสุข" เป็นลักษณะรูปทรงที่ดินที่วางผังบ้านได้ง่ายที่สุด และสามารถออกแบบให้มีพื้นที่เหลือ สำหรับสวนและปลูกต้นไม้ได้มากกว่าที่ดินลักษณะอื่นๆ (ในขนาดพื้นที่เท่ากัน) โดยเฉพาะที่ดินสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่อยู่ทางทิศขวางตะวันหรือมีด้านแคบหันไปทางทิศตะวันออก และตะวันตก เพราะจะช่วยให้เราสามารถออกแบบบ้านรับลมประจำถิ่น ที่พัดมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้เต็มที่

8."ใครปลูกบ้านบนที่ดิน รูปทรงสามเหลี่ยมนั้นไม่ดี จะเจ็บไข้ได้ป่วย เกิดอุบัติเหตุและมีปัญหาเรื่องชู้สาว" วิธีแก้คือแบ่งส่วนปลายสามเหลี่ยมออกมุมหนึ่ง จึงสามารถปลูกบ้านได้ แต่ที่ดินนั้นจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะปลูกบ้านได้ด้วย" ที่ดินรูปสามเหลี่ยมหากมีขนาดเล็กมาก จะทำให้เราออกแบบบ้านได้ค่อนข้างลำบาก เพราะที่ดินลักษณะนี้จะมีมุมของรั้วบ้านซึ่งเป็นซอกไม่น่าดูถึง 2 มุมด้วยกัน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกอึดอัดทางสายตา (ซึ่งเราอาจแก้ปัญหาด้วยการปลูกต้นไม้ เพื่อหลบเหลี่ยมมุมและปิดรั้ว) อีกทั้งพื้นฐานของรูปทรงบ้านและห้องภายในบ้านนั้นเป็นสี่เหลี่ยม เมื่อนำไปวางในพื้นที่สามเหลี่ยมจะทำให้เราเสียพื้นที่สำหรับสร้างบ้าน มากกว่าที่ดินที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม

ขอบคุณข้อมูลที่มาจาก : http://www.kuasakul.com/

การดูแลบ้านของคุณให้น่าอยู่

การดูแลบ้านของคุณให้น่าอยู่

สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนที่รักบ้านทุกคน วันนี้ผมมีไอเดียข้อแนะนำสำหรับการดูแลบ้านของคุณเองให้น่าอยู่ง่ายๆ มาฝาก เพื่อน ๆนะครับ 
การดูแลบ้านของคุณให้น่าอยู่ 
1.ความปลอดภัยของบ้าน  เป็นเรื่องที่เราเองจะต้องคำนึงเป็นเรื่องแรกเลยนะครับสำหรับเรื่องของความปลอดภัย ทั้งเรื่องของตัวโครงสร้างบ้านเองเราจะต้องคำนึงอย่างมากถ้าจะให้ดีจะต้องมีการออกแบบสำหรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัยจากวิศวกรหรือว่าผู้เชี่ยวชาญ และความปลอดภัยที่เราจะต้องคำนึงต่อมาคือ เรื่องของโครงสร้างภายในบานเราเองจะต้องวางเรื่องโครงสร้างภายในบ้านเหมือนกัน เช่น ไม่สมควรอย่างมากสำหรับการนำปลั๊กไฟไว้ใกล้กับนํ้า หรือเรื่องอื่นๆ อีก
2.สุขลักษณะ  เราจะต้องวางโครงสร้างของบ้านให้ถูกสุขลักษณะให้มาก  ๆนะครับ สามารถที่ระบายอาศได้อย่างดี เรื่องของความร้อนก็พยายามวางโครงสร้างให้เหมาะสมเช่นเดียวกัน
3.ความสะดวกของการใช้สอย  ควรที่จะสร้างห้องนํ้า ไว้ที่ห้องนอน และสร้างห้องครัวไว้ในมุมที่ระบายอากาศได้ดี และควรที่สร้างห้องพระไว้ที่สงบหรือว่าชั้นสองของบ้าน  การสร้างและวางโครงสร้างของบ้านควรเหมาะและง่ายแก่การใช้งาน
4.ความสบาย  บ้านควรที่จะอำนวยความสบาย ให้เราอย่างมากที่สุด เช่น การไม่ให้แดดส่องมากเกินไปในห้องนอน  ห้องครัวต้องมีที่ระบายอากาศไม่สะสมกลิ่น
 เอาหละครับเพื่อน ๆลองปรับใช้กันดูนะครับ
ขอบคุณที่มา http://design-homeideas.com/

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5 ห้องกับปัญหาข้องใจ

5 ห้องกับปัญหาข้องใจ : บ้านจัดสรรเชียงใหม่
ทุกวันนี้ การอยู่อาศัยในห้องกลายมาเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งการอยู่แบบคอนโดมิเนียม อพาร์ตเม้นท์ หรือแม้แต่การปรับแต่งห้องนอนเดิมให้ใช้งานอย่างอื่นเพิ่ม ห้องของแต่ละคนก็มีปัญหาหรือข้อจำกัดต่างกันไป เราได้รวบรวมมาไว้ 5 ข้อ พร้อมชี้แนะทางออกให้ด้วยวิธีง่ายๆ แม้ห้องที่เรายกมาเป็นตัวอย่างจะไม่เหมือนห้องของคุณเสียทีเดียว แต่รับรองว่าไอเดียเหล่านี้ นำไปใช้ได้แน่นอน

1."ข้าวของเยอะ แต่มีที่น้อย" ขนาดเพียง 20 ตารางเมตร
ไอเดีย ปัญหานี้ ต้องแก้ด้วยการทำที่เก็บของให้เยอะที่สุด โดยคำนึงว่า ยิ่งซ่อนได้มากก็ยิ่งไม่รก ขณะเดียวกันก็ต้องหยิบใช้ได้สะดวกด้วย
1.ยกพื้นเตียงขึ้นไป ด้านล่างเก็บของได้เยอะเลย โดยเฉพาะของที่ไม่ต้องใช้งานบ่อยๆ เหมาะมาก
2.ระหว่างตู้สองตู้ ติดราวเสื้อเข้าไป กลายเป็นตู้เสื้อผ้าได้ง่ายๆ แถมติดม่านเข้าไปอีกหน่อย แค่นี้ก็เรียบร้อยน่าดู
3.ตู้สองชั้น ชั้นในทำเป็นตู้เก็บของติดผนัง ส่วนชั้นนอก ใส่รางเลื่อนเข้าไป ให้สามารถเลื่อนไปมาได้ ดูคล้ายๆประตูตู้แบบบานเลื่อน แต่เก็บของได้
4.ตู้ลิ้นชักแบบแนวตั้ง ตู้รูปแบบนี้ ช่วยให้คุณเก็บของได้มากโดยใช้พื้นที่นิดเดียว แถมเมื่อปิดเข้าไปยังดูเรียบร้อยอีกด้วย แต่ไม่ควรออกแบบให้หน้าตู้ลิ้นชักแต่ละอันกว้างเกินไป จะทำให้หนักและเลื่อนยาก
5.เหนือโต๊ะทำงานที่ปลายเตียง ลองขโมยพื้นที่บนอากาศ ทำเป็นชั้นห้อยลงมาจากฝ้าเพดาน เก็บของได้ไม่น้อย

2."มีหน้าต่างรอบด้าน แต่งยากจัง"
ขนาดเพียง 28 ตารางเมตร
ไอเดีย ห้องนอนสมัยนี้ชอบออกแบบให้เห็นวิวข้างนอกเยอะๆ จึงมีหน้าต่างอยู่รอบด้าน ทำให้คุณไม่รู้จะหันหัวเตียงไปทางไหน ไม่รู้จะวางตู้เสื้อผ้าอย่างไร ไม่ยากเลย แค่ปรับเปลี่ยนความเคยชินของคุณเล็กน้อยเท่านั้น
1.หัวเตียงไม่จำเป็นต้องอยู่ชิดผนังก็ได้ ลากออกมาอยู่กลางห้องเสียเลย โดยหันเตียงให้สามารถมองเห็นวิวได้ขณะที่นอน
2.โต๊ะทำงานก็อยากมองวิวนอกหน้าต่าง ดึงมาวางกลางห้องชนกับหัวเตียง ช่วยให้หัวเตียงดูไม่ล่องลอยเกินไป เป็นมุมทำงานที่มองวิวได้รอบด้าน
3.ปลายเตียงวางม้านั่งยาว หรือตู้วางทีวีก็ได้ แต่ควรเลือกใช้ตู้เตี้ยๆจะได้ไม่บังวิว
4.ผนังทึบที่มีอยู่อย่างน้อย 1 ด้าน แน่นอนว่าต้องใช้วางตู้เสื้อผ้าหรือทำตู้บิลท์อิน ไม่มีทางเลือกอื่น

3."ห้องเดียว เป็นทุกอย่าง" ขนาดเพียง 24 ตารางเมตร
ไอเดีย ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องกินข้าว ถูกอัดอยู่ในห้องเดียวไม่ใช่ปัญหา แต่ที่สำคัญต้องดูที่พฤติกรรมและจัดวางให้เกิดความเป็นสัดส่วน
1.ตู้รองเท้าจัดให้อยู่ใกล้กับประตูทางเข้า ใกล้กับเคาน์เตอร์เตี้ยสำหรับปรุงอาหาร เลือกใช้ตู้เย็นตั้งพื้นขนาดเล็กซ่อนไว้ใต้เคาน์เตอร์พอดี ด้านบนวางเตาอบไมโครเวฟ และด้านบนทำตู้แขวนวางถ้วยชาม 2.โต๊ะทำงานอยู่ชิดผนัง ด้านบนทำเป็นตู้สำหรับวางหนังสือและอุปกรณ์ทำงาน และใช้พื้นที่บนผนังสำหรับติดรูปหรือแขวนของ
3.มุมนั่งเล่น จัดให้อยู่ใกล้กับส่วนทำงาน ใช้เป็นมุมกินข้าวไปด้วยในตัว และเมื่อมีเพื่อนมาเยี่ยมก็ลากเก้าอี้ทำงานมานั่งคุยกันได้
4.ใช้ตู้วางทีวีที่เป็นตู้สูงแทนผนัง กั้นสัดส่วนระหว่างที่นอนกับมุมนั่งเล่น
5.ที่นอนทำเป็นยกพื้นสูง เพื่อแบ่งพื้นที่ส่วนนอนให้ดูเป็นสัดส่วนยิ่งขึ้น พื้นที่ใต้เตียงทำเป็นตู้เก็บของได้อีก
6.ระเบียงห้องส่วนที่ต่อเนื่องกับส่วนนอน ยกพื้นสูงขึ้นเช่นกัน แล้วปูพื้นไม้ เอาไว้นั่งๆนอนๆในบรรยากาศ
ของสวนระเบียง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการใช้งานเป็นหนึ่งเดียว เพิ่มพื้นที่ใช้สอยของทั้งสองส่วน โดยมีเพียงแค่ประตูกระจกบานเลื่อนกั้น
7.พื้นที่ระเบียงส่วนนี้ไม่ต้องยกพื้น วางไม้กระถางที่ชอบจัดเป็นมุมสวนระเบียงขนาดเล็ก

4."ใช้งานได้ แต่ขอให้โล่งด้วย"ขนาดเพียง 20 ตารางเมตร
ไอเดีย ห้องเล็กๆจะให้ใช้งานได้ก็ต้องมีเฟอร์นิเจอร์ แล้วจะให้โล่งได้อย่างไร อ้อ ก็แค่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ซ้อน พับ และเก็บเข้าไปกับผนังรอบๆ ก็เท่านั้นเอง
1.ผนังข้างเตียงทำเป็นตู้บิลท์อิน เพื่อให้พับเตียงนอนขึ้นไปเก็บได้ พื้นที่ที่เหลือก็ทำเป็นตู้และชั้นเก็บของ
2.โต๊ะทำงานออกแบบเป็นแบบบิลท์อินชิดผนัง ด้านล้างปล่อยโล่ง ซื้อตู้ลิ้นชักแบบที่มีล้อเลื่อน สำหรับใส่อุปกรณ์ทำงานจุกจิก ปกติจะถูกซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ แต่ถ้าเอกสารงานที่ต้องทำเยอะๆ วางบนโต๊ะไม่พอ ก็เลื่อนตู้ลิ้นชักออก หลังตู้ใช้แทนโต๊ะได้อีกตัว
3.เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัวในส่วนนอน ก็เลื่อนฉากที่ซ่อนที่ผนังออกมาบัง เป็นบานเลื่อนแบบสองตอน ใช้แทนผนังได้เลย
4. มุมกินข้าวและนั่งเล่น ทำเป็นเคาน์เตอร์ติดผนัง ด้านบนวางทีวี ด้านล่างปล่อยโล่ง เอาไว้เก็บซ่อนโต๊ะและเก้าอี้ เมื่อต้องการใช้งานก็เลื่อนออกมา ใช้เสร็จก็เลื่อนเก็บเข้าไป ที่สำคัญอย่าลืมติดล้อที่ขาเก้าอี้และขาโต๊ะด้วย
5.เลือกใช้โซฟาเบด สำหรับนั่งพักผ่อนและรับรองเพื่อนฝูงที่จะมานอนค้างได้

5."เสาใหญ่ยื่น ไม่สวยเลย"ขนาดเพียง 20 ตารางเมตร
ไอเดีย เสาเจ้าปัญหา และบางทีก็ยังมีช่องท่ออีกที่ยื่นออกมาจากผนังห้อง ดูไม่มีที่มาที่ไปเสียเลย อย่างนี้ต้องแก้ด้วยหลักของความสมมาตร และแต่งเสาให้สวยไปเลย
1.ทำตู้เก็บของแบบบิลท์อินให้มีขนาดและยื่นออกจากผนังเท่ากับขนาดของเสา เพื่อสร้างความสมมาตร
2.ตกแต่งพื้นผิวของเสาและตู้เก็บของให้มีพื้นผิวเหมือนกัน เช่น ถ้าหน้าบานตู้กรุกระจกก็ให้กรุกระจกที่เสาด้วย เป็นต้น
3.หน้าบานของตู้เก็บของ ควรออกแบบให้ดูเรียบ มือจับตู้ควรออกแบบให้ดูกลมกลืนกับหน้าบานหรือแบบไม่มีมือจับเลย เพื่อให้ดูกลมกลืนกับฝั่งที่เป็นเสา
4.พื้นที่ตรงกลางระหว่างเสาและตู้ ทำเป็นโซฟาแบบบิลท์อิน เอาไว้นั่งเล่นพักผ่อนในห้องนอน หรือวางโต๊ะทำงานเข้าไปก็ได้ โดยพยายามให้ความกว้างของโซฟาและโต๊ะทำงานเท่ากับขนาดของเสาที่ยื่นออกมาพอดี

แหล่งที่มา : iam.hunsa.com
ขอขอบคุณ http://www.homedecorthai.com

เคล็ดลับการดูแลบ้าน

เคล็ดลับการดูแลบ้าน


อ่านเจอเคล็ดลับดีๆ  เลยเอามาฝากสมาชิกครับ  ถ้าซ้ำก็ขอโทษด้วยค่ะมีทั้งหมด  50  ข้อ ตอนนี้  ใครลองก็มาแจ้งผลกันบ้างนะค่ะ
 

 
1. โรงรถมีกลิ่นอับมาก จะขจัดกลิ่นออกได้โดยโรยหญ้าที่เพิ่งตัด มาใหม่ๆ ลงบนพื้นโรงรถ แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ต้นหญ้าจะดูดเอากลิ่นอับในโรงรถออกไปจนหมด2. ถ้าต้องการอบผ้า2-3 ชิ้นให้แห้งเร็วขึ้นทำได้โดยหาผ้าขนหนูสะอาดๆใส่ลงไปในเครื่องด้วยเพราะผ้าขนหนูจะไปช่วยดูดซับความชื้นทำให้ผ้า แห้งเร็วขึ้นอีก
3. วิธีทำให้กรอบกระจกเงา หรือกรอบกระจกรูปภาพมองดูใหม่ เสมอ
ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบน้ำมันสนแล้วทาบริเวณกรอบไม้รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที
4. วิธีล้างคราบสกปรกที่แก้วเจียระไน
ทำง่ายๆคือหาเปลือกฝรั่ง ใส่ลงไปในแก้วเจียระไน แช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้าง ด้วยน้ำสะอาด เพี

5. วิธีทำความสะอาดเครื่องเคลือบที่ทำด้วยทองเหลือง มีวิธีการทำง่ายๆ คือนำเอาหัวหอมมาต้มในน้ำเดือด แล้วนำมาขัดลงบนเครื่องเคลือบเพียงเท่านี้เครื่องเคลือบจะมองดูใหม่สะอาดหมดจดทีเดียว

6. วิธีการขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่ออ่างล้างจาน
ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆจะเป็นเหตุให้ท่ออุดตันได้ มีวิธีทำคือนำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อ 2-3ช้อนจากนั้นนำเบกกิ้งโซดาหรือผงฟูต้มน้ำให้ เดือดแล้วเทลงไปไขมันที่อุดตันก็จะหลุดออกไปหมด
7 . วิธีขจัดพวกมดแมลงมาขึ้นถังขยะ
ทำได้ง่ายๆโดยหยดแอมโมเนีย ลงข้างๆ ถังขยะ สักเล็กน้อย กลิ่นแอมโมเนียจะทำให้มดแมลง ไม่กล้าเข้ามาใกล้ถังขยะอีก


8. การรักษาเครื่องมือทำสวนที่เป็นโลหะไม่ให้ผุกร่อนได้ง่าย
มีวิธีการรักษาโดยใช้วาสลินทาผิวของโลหะทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว และนำมาทำความสะอาดอีกครั้ง
9.การใช้เตาแก๊สแบบประหยัดทำได้โดยปรับเปลวไฟให้
เป็นสีน้ำเงินเสมอ และไม่ควรเปิดไฟแก๊สให้สูงกว่าก้นหม้อด้วย10.วิธีดับกลิ่นเหม็นในถังขยะไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหรือในบ้าน
ให้หมดกลิ่นได้ ทำได้โดยใส่เปลือกมะนาว หรือเปลือกส้มเขียวหวานส้มโอก็ได้ ใส่ลงไปในถังขยะ กลิ่นส้มจะไปลดกลิ่นลงทำให้มีกลิ่นน้อยลง
 
11. การขัดรอยแมลงวันบนกระจก
มีเคล็บลัดคือ ใช้ผงกาแฟคั่วหนึ่งช้อน ผสมกับน้ำมันก๊าดหนึ่งลิตร และใช้เศษผ้าชุบเช็ดกระจกรอยแมลงวัน ก็จะหมดไป
12. หากต้องการทาสีห้องใหม่
แต่กลัวว่าห้องจะมีแต่กลิ่นเหม็น ของสี อยู่หลายวัน มีวิธีขจัดกลิ่นเหม็นของสีคือก่อนจะทาสี ให้ผสมน้ำวานิลลา 1 ช้อนชาต่อสี 1 แกลลอนคนให้เข้ากัน แล้วจึงนำไปทาห้องสีที่ทาใหม่จะไม่มีกลิ่นเหม็นเป็นเด็ดขาด

13. วิธีการป้องกันไม่ให้ถุงในเครื่องดูดฝุ่นโดนแมลงกัดเป็นรู
คือ นำการบูร หรือลูก เหม็นใส่เข้าไปในถุงดูดฝุ่นสัก 1 ก้อน นอกจากป้องกันแมลง แล้วยังป้องกันกลิ่นอับอีกด้วย
14. แก้ปัญหายุงไปไข่ทิ้งไว้ในแท็งก์น้ำ ทำให้มีลูกน้ำ ว่ายวนอยู่ในแท็ง
มีวิธีทำคือ นำอิฐแดงๆ ที่ใช้ในการ ก่อสร้างมาเผาไฟให้ร้อนๆแล้วเอาใส่ลงไปในแท็งก์น้ำทันที เพียงเท่านี้ยุงจะไม่กล้าเข้าไปไข่ทิ้งไว้อีกเลย

15. วิธีกำจัดต้นหญ้าที่ขึ้นไม่ถูกที่
ทำได้โดยใช้เกลือโรยตรงส่วนที่ ต้นหญ้าขึ้น เหตุเพราะเกลือจะไปทำให้ดินตรงที่ต้นหญ้าขึ้นอยู่เค็มจึงทำให้ต้นหญ้าตายในที่สุด
16. น้ำประปาที่มีกลิ่นคลอรีนแรงมาก
มีวิธีกำจัดกลิ่นให้หมดไปโดยฝานมะนาวบางๆลงไปในน้ำ มะนาวจะช่วยดูดกลิ่น คลอรีนให้หมดไป และทำให้น้ำดื่ม
ได้อีกด้วย

17. ขอบยางประตูตู้เย็นมีราขึ้น
จะมีวิธีลบราออกได้โดยใช้ผ้าชุบ น้ำส้มสายชูแล้วนำ ไปถูตรงขอบยางประตูตู้เย็นที่เป็นรา ราก็ออกไปได้โดยง่ายดาย
18.ขจัดปัญหาหมาแมวฉีและอุจจาระไม่เลือกที่ทำได้โดยการโรยพริกไทย ป่นลงไป บนที่มันเคยฉี่หรืออุจจาระไว้ เพียงเท่านี้หมา แมวก็จะดมกลิ่น หาที่ที่มันเคยฉี่และ อุจจาระไม่เจอ เหตุเพราะพริกไทยป่นจะไปดับกลิ่น หมด ทางที่ดีควรสอนให้มันฉี่และอุจจาระ ในห้องน้ำ หรือบนกระดาษที่เราควรจะวางไว้จนเคยชิน
19. การรักษาไม้กวาดดอกหญ้าที่ซื้อมาใหม่ให้ใช้ไปได้นานๆ
ทำได้โดยการจุ่มไม้กวาด ดอกหญ้าในน้ำเกลือร้อนๆ ขนของไม้กวาดจะเกาะตัวกันเวลาใช้จะทนทานไม่ขาดง่าย
20. ตะปูที่ตอกไว้ข้างฝาคอนกรีตสำหรับแขวนรูปหลวม
มีวิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ใช้สำลีพันตะปูชุบกาวและตอก เข้าไปใหม่ กาวที่สำลีจะยึดติดกันแน่น

21.วิธีการขจัดกลิ่นเหม็นสาปที่ติดอยู่ในกระติกน้ำแข็ง
ทำได้โดย นำเบกกิ้งโซดามาผสม กับน้ำร้อน และนำมาล้างถูกระติกน้ำ ให้ทั่ว แล้วล้างน้ำอีกครั้งกลิ่นสาปก็จะหายไป
22. วิธีการเก็บสายยางที่ยาวไว้โดยไม่เปลืองเนื้อที่
ทำได้โดยม้วนสอดเข้าไป ในยางรถ ยนต์อันที่ไม่ใช้แล้ว เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย

23. ขจัดปัญหากลิ่นส้วมเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้าน
คือใช้นำมันก๊าดประมาณ 1 ขวดใหญ่ มาเทราดลงไปในคอห่านแล้วเทน้ำตามลงไปเพื่อขจัดกลิ่นน้ำมันก๊าดให้หมด
24. วิธีป้องกันหมาแมวตัวโปรดมากัดแทะเฟอร์นิเจอร์ในบ้านคือ ใช้น้ำมันยูคาลิปตัส หรือน้ำมันที่มีกลิ่นฉุนทาที่เฟอร์นิเจอร์ กลิ่นฉุนนั้นจะทำให้มันไม่กล้าเข้ามากัดแทะอีก
25. วิธีขจัดรอยเปื้อนด่างดำบนเครื่องใช้ที่เป็นหนัง
คือ หยดน้ำมันสลัดสัก 2-3 หยด ในน้ำสบู่ แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำที่ผสมไว้มาถู จากนั้นจึงซักใน น้ำสบู่ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ต่อด้วยเช็ดให้แห้งผึ่งลมไว้
26. วิธีการดึงสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนฝาห้องออกโดยไม่ทิ้งคราบกาวไว้ ที่ฝา
ทำได้โดยใช้น้ำมันพืชมาทาบนรูปสติกเกอร์ แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกมา

27. การใช้เครื่องซักผ้าแบบประหยัดที่สุด
คือในการซักผ้าแต่ละครั้ง ควรจะซักผ้าในปริมาณที่มากที่สุด
28. การทำให้ตู้เสื้อผ้าของคุณหอมได้
โดยที่ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อ มาใส่ เพียงแต่คุณใช้เศษสบู่ที่จะทิ้งแล้วไปวางไว้ในมุมใดมุม หนึ่งของตู้ กลิ่นสบู่นั้นก็จะหอมไปทั่วตู้เลย

29. วิธีทำความสะอาดภาชนะอลูมิเนียมให้ใสสะอาดเหมือนใหม่
คือ นำเอาเปลือกแอปเปิ้ล ต้ม 2-3 นาที แล้วใช้น้ำขัดถูภาชนะ อะลูมิเนียมก็จะดูเงาวามเหมือนใหม่
30. วิธีการใช้เตาอบให้ใหม่อยู่เสมอ
คือ หลังจากใช้เตาอบแล้ว ควรเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง และทำในขณะที่เตายัง อุ่นๆ อยู่ เพราะจะเช็ดได้ง่ายกว่าในขณะที่เย็นแล้ว

31.วิธีขจัดรอยคราบเหนียวบนผนังตู้เย็น
คือ ใช้น้ำมันพืชเทลงบน กระดาษเช็ดมือ แล้วถูจนสะอาด ทำสัก 2-3 ครั้ง น้ำมันพืชจะ ไม่ทำลายความเงาของตู้เย็นหรอก
32. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นของท่อระบายน้ำล้างจาน ให้หอมสดชื่นคือ เทเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย ลงไปในท่อระบายน้ำทิ้งไว้ 5 น้ำส้มสายชูตามลงไปอีก 1ถ้วย จะขจัดกลิ่นเหม็นได้ดีจริงๆ

33. ในการใช้ยาขัดเฟอร์นิเจอร์
ไม่ควรใช้ประเภท เช่น น้ำมัน ขี้ผึ้ง บ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวเฟอร์นิเจอร์เกิดความเสียหายได้ง่าย
34. ในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้าฝ้าย
ให้ใช้แปรงทาสี ด้ามใหม่ปัดตามซอกมุมเฟอร์นิเจอร์ไปพร้อมกันกับการทำความ สะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกครั้ง

35. การทำความสะอาดในซอกเล็กซอกน้อยของโคมไฟ
ให้ใช้เครื่อง เป่าผม เป่าลมไปตาม ที่มีฝุ่นละอองจับแล้วเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง โคมไฟก็จะดูใหม่เสมอ
36. วิธีลบคราบดวงๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์
คือ ให้ใช้จุกไม้ก๊อกถู ถ้าไม่ออกให้ใช้นิ้วมือแตะยาสีฟันผสมขี้เถ้าบูหรี่ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้ ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนซ้ำอีกครั้ง

37. การทำความสะอาดพื้นกระเบื้องยาง
คือ ใช้แปรงสีฟัน ชุบยาสีฟัน แล้วนำไปขัดถูบริเวณรอยเปื้อนให้แรงๆ จะทำให้ รอยเปื้อนหลุดออกไปได้โดยง่าย
38. วิธีการตอกฝาผนังตะปูโดยไม่ให้งอ
คือ ให้ทาปลายตะปูด้วย น้ำส้มสายชูหรือน้ำมันพืช ก่อนที่จะนำมาตอกฝาผนัง จะตอกได้คล่องและไม่งอจริงๆ

39. วิธีการทาสีกำแพงให้ติดอยู่ได้ทนนาน
คือ ก่อนที่จะทาสีกำแพง ให้ล้างกำแพงให้สะอาด ด้วยน้ำมันสนเพื่อขจัดคราบสกปรกและสี ที่ทาจะติดทนนานไม่ร่อนออกง่าย
40. วิธีแก้ปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม้โป่งออกมา
คือ ให้วางผ้าชื้นๆ ลงบน รอยที่โป่ง ใช้เตารีดร้อนๆ ทับบนผ้า จะทำให้คืนสู่สภาพเดิม

41.วิธีขจัดรอยขีดข่วนบนเฟอร์นิเจอร์ไม้
คือ ให้ใช้ผ้าแตะยาขัด รองเท้าที่สีเดียวกับไม้ แล้วถูตรงรอย แล้วใช้ผ้าขัดต่ออีกครั้ง รอยขีดข่วนก็จะหายไป
42. วิธีการแก้ปัญหาเก้าอี้หวายหย่อน
คือ ถ้าอยากให้ตึงให้ล้างเก้าอี้ หวายด้วยน้ำสบู่ร้อนๆ แล้วล้างน้ำสบู่ออก นำออกตากแดดกลาง แจ้งให้แห้ง หวายที่หย่อนจะตึงเหมือนเดิม

43. วิธีการทำความสะอาดพื้นบ้านไม้ให้เงางามอยู่เสมอ
คือ ให้ผสม น้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยต่อน้ำ 8 ลิตร จะช่วยขจัดเศษฝุ่นละออง และพื้นก็เป็นเงางามอีกด้วย
44. การรักษาเฟอร์นิเจอร์โลหะไม่ให้เป็นสนิมได้ง่าย
คือให้เคลือบ โลหะด้วยขี้ผึ้งขัดรถ เมื่จำเป็นต้องเอาเฟอร์นิเจอร์โลหะ ไว้ตากน้ำค้าง จะได้ไม่ขึ้นสนิมได้ง่าย

45. วิธีการติดรูปโปสเตอร์บนกำแพงโดยไร้ร่องรอยเมื่อดึงภาพออก
คือ ให้ใช้ยาสีฟันแทนกาวในณะที่ติดรูป เมื่อถึงเวลาดึงรูปออก ก็เพียง แค่ขัดยาสีฟันที่แห้งออกเท่านั้น ฝาผนังก็สะอาดแล้ว
46. ถ้าบังเอิญต้องจัดงานเลี้ยงที่มีฟลอร์เต้นรำแบบกะทันหัน
ทำได้ โดยโรยแป้งผงสำหรับ โรยตัวให้ทั่วก็จะแก้ขัดไปได้ด้วยดีทีเดียว

47.วิธีแก้ปัญหาหน้าต่างปิดและเปิดออกได้ยากคือ ให้เอาน้ำมัน เครื่องหยอดตรงราง อลูมิเนียมให้ทั่วเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เปิด และปิดได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า48. วิธีป้องกันไม่ให้มดขึ้นตู้กับข้าว
คือใช้เศษผ้าหรือเชือกที่เป็นผ้าไปชุบน้ำมันเครื่อง แล้วบิดพอหมาด นำไปผูกไว้ที่ขาตู้กับข้าวทั้งสี่ขา มดก็จะไม่กล้าขึ้นแน่นอน

49. วิธีการไล่ยุงแบบง่ายๆ
คือหาการบูรมาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับ หลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูรระเหยออกไปและกลิ่นของการบูรจะช่วยป้องกันยุง ไม่ให้มารบกวน

50. วิธีการไล่หนูแบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำไม้ยี่โถไป ตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรย ตามซอกที่หนูชออยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย

แหล่งที่มา : topicstock.pantip.com
ขอขอบคุณเว็บ http://www.homedecorthai.com/

การตกแต่งภายใน-ห้องรับแขก

1.        การจัดวาง ห้องรับแขกถือเป็นบริเวณกึ่งสาธารณะในบ้านควรจะอยู่ติดกับโถงทางเข้าด้านหน้าบ้านเพื่อการเข้าถึงโดยสะดวกและควรมีทางติดต่อกับห้องรับประทานอาหาร หรือเฉลียง เพื่อความสะดวกในการย้ายกิจกรรม ห้องรับแขกควรจัดให้มีการถ่ายเทอากาศได้สะดวก ไม่ปิดทึบอาจอยู่ติดกับเฉลียงด้วยประตูขนาดใหญ่เพื่อเชื่อมต่อบริเวณให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ควรอยู่ทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเพื่อหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงบ่าย
2.        การเลือกวัสดุและสีห้องรับแขก บ้านที่ไม่มีเด็กและใช้ระบบปรับอากาศสามารถปูพรมได้ แต่ถ้ามีเด็ก อาจจะทำให้ ทำความสะอาดได้ยากพื้นควรปูด้วยไม้ปาเก้กระเบื้องเคลือบหรือวัสดุอื่น ๆแทนแต่จะทำให้รู้สึก แข็งกระด้าง สามารถแก้ได้ด้วย การเน้นบริเวณสำคัญด้วยพรมเป็นเฉพาะจุด ไม่ควรปูพรมทั้งห้องเพราะจะเป็นที่สะสมของฝุ่นซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ สีของผนังหากต้องการโชว์รูปแขวน ก็ควรทาสีเรียบผ้าม่านควรมีลายสอดคล้องกับผ้าบุเก้าอี้และโซฟาเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันผ้าม่านสีอ่อนจะดูสงบสร้างความรู้สึกของผนังเมื่อปิดม่านสีที่กลมกลืนกันทั้งห้องจะช่วยสร้างบรรยากาศผืนภาพใหญ่เพื่อเน้นความขัดแย้งของสีเช่น การใช้เฟอร์นิเจอร์หรือพรมสีสะดุดตาการใช้กระถางต้นไม้จะช่วยให้ห้องดูน่าสนใจขึ้น
3.        เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวและการตกแต่ง การจัดเฟอร์นิเจอร์จำเป็นต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่นั่งหลักซึ่งเป็นจุดสำคัญของศูนย์กลางห้องเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จะมีโซฟาเป็นศูนย์กลางของห้อง โซฟา ที่นั่งเหมาะสำหรับห้องขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ หรือใช้เป็นโซฟา ตัวต่อกันเป็นมุม 90 องศา บุเบาะด้วยผ้า หนัง หรือหนังเทียม ในประเทศไทยอากาศค่อนข้างร้อน การบุหนังอาจจะทำให้นั่งไม่สบายถ้าไม่ติดเครื่องปรับอากาศ ควรบุด้วยผ้าด้ายดิบที่สามารถถ่ายเทอากาศได้แทนการใช้หนัง
4.        แสงและเสียงในห้องรับแขก การใช้แสงธรรมชาติจะช่วยทำให้อารมณ์สดใสได้มากที่สุด และเน้นแสงเฉพาะจุดในบริเวณที่ให้ความสำคัญ เช่น ภาพเขียน งานประติมากรรม บริเวณที่มีการใช้สอยแตกต่างกันก็ควรใช้แสง แตกต่างกันด้วยควรเรียนรู้ที่จะเปิดรับแสงแดด ให้เหมาะกับเวลา อาจนั่ง จดบันทึกทิศทางการเคลื่อนที่ของแสงอาทิตย์ ที่ส่องเข้ามาภายในห้องทุกวันและจัดผังกลุ่มเก้าอี้ตาม อย่าจัดกลุ่มโซฟาหันปะทะแสงจ้า และไม่วางโทรทัศน์รับแสงอาทิตย์กลางวันตรง ๆ 
ที่มา http://www.student.chula.ac.th/